อินเดีย เจอ ไข้ปริศนา คร่าชีวิตเด็กไปแล้วกว่า 50 ศพ คาด ไข้เดงกี จากยุงเป็นเหตุ WHO หวั่นทำให้สถานการณ์โควิดเลวร้ายลง เมื่อวันที่ 1 กันยายน สำนักข่าว BBC รายงานว่า พบไข้ปริศนาในรัฐอุตตรประเทศ ของอินเดีย และคร่าชีวิตผู้ป่วยแล้ว 50 ศพ และมีผู้ป่วยต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลมากกว่า 100 ราย
โดยผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดตามข้อต่อ ปวดศีรษะ วิงเวียน หิวน้ำ และพบว่าผู้ป่วยบางรายมีผื่นตามบริเวณแขนและขา นอกจากนี้จากการตรวจสอบยังไม่พบว่าผู้เสียชีวิตมีผลตรวจโควิดเป็นบวกอีกด้วย
ด้านเจ้าหน้าที่แพทย์ได้ออกมาวินิจฉัยว่า ผู้เสียชีวิตน่าจะเกี่ยวข้องกับ ไข้เดงกี เชื้อไวรัสที่เกิดจากยุง โดยแพทย์พบเกร็ดเลือดที่น้อยลง ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผู้ที่ได้รับเชื้อไข้เดงกี ขณะที่องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ออกมาเปิดเผยว่าในทุกๆปีมีผู้ป่วยจากไข้เดงกีมากกว่า 100 ล้านราย ซึ่งทาง WHO ได้รับรายงานถึงอาการเลือดออกรุนแรงและอวัยวะเสื่อมเป็นจำนวนมาก โดยทาง WHO แสดงความเป็นห่วงว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และ โรคเดงกีอาจทำให้อินเดียเผชิญปัญหารุนแรงได้
โดยนาย ฟิล เมอร์ฟีย์ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ระบุว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกคลื่นซัดขณะที่นั่งอยู่ในยานพาหนะของตนเอง พร้อมระบุว่าในขณะนี้ยังมีผู้สูญหายอีกหลายรายด้วย ซึ่งนาย เมอร์ฟีย์ ระบุอีกด้วยว่าเฮอริเคนลูกนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและต้องรีบหาทางแก้ไข เนื่องจากภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และรุนแรงขึ้นทุกครั้งอีกด้วย
ขณะที่ คิม คอบบ์ นักวิทยาศาสตร์สถาบันเทคโนโลยีจอร์เจียให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางเดียวกัน ในสภาวะโลกร้อนเช่นนี้ ชั้นบรรยากาศสามารถเก็บความชื้นได้ในปริมาณที่มากกว่าปกติอย่างชัดเจน และเรากำลังเผชิญกับความเชื่อมโยงดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นเมื่อกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา อุทกภัยในยุโรปตะวันตกคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 183 ราย
พายุเฮอริเคนไอดา เป็นเฮอริเคนระดับ 4 ที่พัดขึ้นชายฝั่งด้วยความเร็ว 150 ไมล์ต่อชั่วโมง จากอิทธิพลของพายุลูกนี้ส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับพายุและคลื่นลมแรง มีฝนตกกระหน่ำอย่างหนักในวันที่ 29 ส.ค. ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมสูง
องค์การอนามัยโลก ประกาศเฝ้าระวัง โควิดสายพันธุ์มิว หลังมีความเป็นไปได้ว่าโควิดสายพันธุ์ดังกล่าวสามารถหลบภูมิต้านทานได้ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม สำนักข่าว เดอะการ์เดี้ยน รายงานว่า องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ออกมาประกาศให้ โควิดสายพันธ์ุมิว (Mu) หรือ B.1.621 ให้กลายเป็นโควิดอยู่ในการเฝ้าสังเกตการณ์ หลังจากที่พบโควิดสายพันธุ์ดังกล่าวแล้ว 39 ประเทศ ในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา และอาจจะเป็นไปได้ว่าโควิดสายพันธุ์นี้สามารถหลบหลีกภูมิต้านทานได้ด้วย
โดยทางองค์การอนามัยโลกระบุว่าพบการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้ได้ถึงความเสี่ยงในการต้านทานต่อวัคซีนหลายชนิด และมีความเสี่ยงที่จะหลบหลีกภูมิต้านทานได้ ซึ่งในเอกสารระบุว่า โควิดมิว มีความคล้ายคลึงกับโควิดเบต้าที่ถูกพบในแอฟริกาใต้ก่อนหน้านี้ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจำเป็นต้องศึกษาโควิดชนิดดังกล่าวเพิ่มเติมต่อไป
โควิดมิวถูกพบครั้งแรกในประเทศโคลอมเบีย เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา และนับตั้งแต่นั้นโควิดชนิดดังกล่าวก็แพร่ไปหลายทวีปนอกเหนืออเมริกาใต้ และมีการพบผู้ป่วยสายพันธุ์มิวแล้วใน สหรัฐ, ยุโรป, อังกฤษ และ ฮ่องกง แม้ว่าโควิดชนิดนี้จะคิดเป็นเพียงแค่ร้อยละ 0.1 ของผู้ป่วยโควิดทั้งหมด แต่ผู้ป่วยในโคลอมเบียและเอกวาดอร์ติดโควิดชนิดแล้วคิดเป็นร้อยละ 39 และ 13 ตามลำดับ
ซึ่งทางนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าพวกเขาอยากรู้ว่าโควิดสายพันธุ์นี้สามารถแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าและอันตรายกว่าโควิดชนิดอื่นๆหรือไม่
ญี่ปุ่น ผวา! ยืนยันเจอ โควิดมิว แล้วสองราย
ทางการญี่ปุ่น ยืนยันว่าพบผู้ป่วย โควิดมิว แล้วสองราย เร่งหาข้อมูลเพิ่มเติม ขณะที่ WHO คาดว่า โควิดมิว สามารถหลบภูมิต้านทานได้ดีกว่าโควิดทั่วไป เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม สำนักข่าว NHK รายงานว่า ทางการญี่ปุ่นตรวจพบผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์มิวเป็นจำนวนสองรายในศูนย์กักตัวภายในสนามบินสองแห่ง โดยผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นผู้หญิงในวัย 40 ปี เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ส่วนอีกรายเป็นผู้หญิงในวัย 50 ที่เดินทางจาก อังกฤษ ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
โดยนายวาคิตะ ทาคาจิ ผู้อำนวยการใหญ่สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่น ได้ออกมาออกคำสั่งให้มีการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งเขายังได้ออกมายืนยันด้วยว่าในประเทศญี่ปุ่นมีการค้นพบโควิดหลายสายพันธุ์ แต่ทางญี่ปุ่นจะให้ความสนใจกับสายพันธุ์ที่สามารถแพร่เชื้อได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ
องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ออกมาประกาศให้ โควิดสายพันธ์ุมิว (Mu) หรือ B.1.621 ให้กลายเป็นโควิดอยู่ในการเฝ้าสังเกตการณ์ หลังจากที่พบโควิดสายพันธุ์ดังกล่าวแล้ว 39 ประเทศ ในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา และอาจจะเป็นไปได้ว่าโควิดสายพันธุ์นี้สามารถหลบหลีกภูมิต้านทานได้ด้วย
โดยทางองค์การอนามัยโลกระบุว่าพบการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้ได้ถึงความเสี่ยงในการต้านทานต่อวัคซีนหลายชนิด และมีความเสี่ยงที่จะหลบหลีกภูมิต้านทานได้ ซึ่งในเอกสารระบุว่า โควิดมิว มีความคล้ายคลึงกับโควิดเบต้าที่ถูกพบในแอฟริกาใต้ก่อนหน้านี้ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจำเป็นต้องศึกษาโควิดชนิดดังกล่าวเพิ่มเติมต่อไป
ด้าน คิมจองอึน ประกาศชัยชนะต่อโรคโควิด-19 พร้อมชื่นชมที่ต่อสู้กับโควิดอย่างไม่ย่อท้อ พร้อมเปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตจากโควิดในเกาหลีเหนือ 74 ศพ เกาหลีเหนือ ไม่ได้ประกาศพบผู้ป่วยใหม่ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม อย่างไรก็ตามนานาชาติตั้งข้อสังเกตว่าประเทศเกาหลีเหนือลดการตรวจหาเชื้อ
เครดิต : รีวิวซีรี่ย์เกาหลี | ลายสัก | รีวิวร้านอาหาร | โทรศัพท์มือถือ ราคาถูก | เรื่องย่อหนัง